Chocolate

Chocolate th รวมเรื่องราวเกี่ยวกับ ช็อกโกแลต

ดาร์กช็อกโกแลต
 
     ข้อดีของ... "ดาร์กช็อกโกแลต" ช่วยลดความดันเลือด-ความเสี่ยงโรคหัวใจ
ที่ผ่านมา "ช็อกโกแลต" ตกเป็นจำเลยในแวดวงโภชนาการ เพราะอุดมไปด้วย ไขมัน น้ำตาล และให้แคลอรี่สูง ช็อกโกแลตจึงเป็นสาเหตุของความอ้วน และก่อให้เกิดปัญหาฟันผุ และกลายเป็นขนมแสนอร่อยที่ต้องรับประทานอย่างระมัดระวัง
แต่วันนี้ภาพของช็อกโกแลตจะเปลี่ยนไป จากผู้ร้ายก็กลายมาเป็นพระเอกขวัญใจ เพราะจากผลวิจัยล่าสุด พบว่า "ดาร์ก ช็อกโกแลต" ที่คุณแม่บ้านนิยมนำไปทำขนมประเภทต่างๆ นั้น มีสารประกอบบางอย่างที่ช่วยให้เส้นเลือดทำงานได้ดี และอาจจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจด้วย
ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา ระบุว่า สารประกอบในช็อกโกแลตที่เรียกว่า "ฟลาโวนอยด์" สามารถช่วยการทำงานของเส้นเลือดให้เป็นไปอย่างปกติมากขึ้น และอาจจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้

ดร.เจฟฟรีย์ บลัมเบิร์ก จากมหาวิทยาลัยทัฟท์ส ในบอสตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้วิจัย กล่าวว่า ผลวิจัยก่อนหน้านี้ทำให้ทราบว่าอาหารที่อุดมด้วยสาร "ฟลาโวนอยด์" ที่พบได้ในผลไม้ ผัก ชา ไวน์แดง และช็อกโกแลต อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของเส้นเลือดหัวใจ แต่การศึกษาถึงผลของดาร์กช็อกโกแลต ที่ช่วยให้ความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันสูงลดต่ำลงนั้น นับเป็นบทพิสูจน์ทางการแพทย์ครั้งแรกที่ทำให้มองเห็นข้อดีที่ซ่อนอยู่ในดาร์กช็อกโกแลต
แต่ "ดร.บลัมเบิร์ก" ย้ำว่า การศึกษาครั้งนี้ไม่ ได้หมายความถึงการส่งเสริมให้รับประทานช็อกโกแลตในปริมาณที่มากขึ้น เพราะผลการศึกษา พบข้อสังเกตเกี่ยวกับฟลาโวนอยด์ในช็อกโกแลตว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของเส้นเลือดและความไวในการดูดซับน้ำตาลกลูโคส
นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ยังไม่สามารถให้คำแนะนำผู้ป่วยโดยใช้ผลวิจัยเกี่ยวกับช็อกโกแลตที่ออกมาล่าสุด นอกจากนี้ นักโภชนาการก็ได้เตือนประชาชนให้ระมัดระวังในการบริโภคช็อกโกแลต เพราะช็อกโกแลตนั้นอุดมไปด้วยไขมัน น้ำตาล และให้พลังงานสูง
ทั้งนี้ ดร.บลัมเบิร์ก และทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยลาควิลา ในอิตาลี ได้มีการศึกษากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นชาย 10 คน และหญิง 10 คน ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง และผู้เข้าร่วมไม่มีปัญหา สุขภาพอื่น รวมทั้งไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์
ทีมวิจัยใช้ระยะเวลาทดลอง 15 วัน โดยแบ่งให้กลุ่มตัวอย่างครึ่งหนึ่งรับประทาน "ดาร์กช็อกโกแลต" ที่อุดมไปด้วยสารฟลาโวนอยด์ในปริมาณ 3.5 ออนซ์ หรือ 100 กรัมต่อวัน ขณะที่กลุ่มเป้าหมายอีกครึ่งหนึ่งรับประทาน "ไวต์ช็อกโกแลต" ในปริมาณเท่ากัน จากนั้นก็เปลี่ยนสลับกัน โดยให้แต่ละฝ่ายเปลี่ยนไปรับประทานช็อกโกแลตอีกแบบหนึ่ง
ดร.บลัมเบิร์กกล่าวว่า ไวต์ช็อกโกแลตไม่มีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งถือเป็นตัวแปรในการทดลองที่ดี เพราะไวต์ช็อกโกแลตมีส่วนประกอบต่างๆ และให้แคลอรี่เหมือนกับที่พบในดาร์กช็อกโกแลต
"เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องบอกว่า ดาร์กช็อกโกแลตที่ใช้ในการทดลองมีสารฟลาโวนอยด์ในระดับที่สูง จึงมีรสชาติหวานขม แต่นมช็อกโกแลต ที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่นิยมดื่มนั้นมีสารนี้ใน ระดับต่ำ"
ผลวิจัยระบุว่า เมื่ออาสาสมัครรับประทานดาร์กช็อกโกแลตสูตรพิเศษ จะมีความดันโลหิตเมื่อหัวใจหดตัวลดลงเฉลี่ย 12 mm Hg (ตัวเลขสูงสุดในการวัดความดันโลหิต) และมีความดันโลหิตเมื่อหัวใจขยายตัวลดลงเฉลี่ย 9 mm Hg (ตัวเลขต่ำสุด) แต่ความดันเลือดไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่ออาสาสมัครรับประทานไวต์ช็อกโกแลต
"ดร.บลัมเบิร์ก" อธิบายว่า ผลที่ได้ไม่มีความสำคัญทางสถิติ แต่ในทางการแพทย์ถือเป็นการลดที่มีความหมาย เพราะเป็นประเภทของการลดความดันโลหิตที่พบแทรกอยู่ในอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ทั้งนี้ การรับประทานดาร์กช็อกโกแลตยังเป็น การปรับวิธีใช้อินซูลินของร่างกาย และลดความหนาแน่นของไขมันจากโปรตีน (lipoprotein) หรือคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีได้เฉลี่ย 10%
ดร.บลัมเบิร์กย้ำว่า ผลวิจัยล่าสุดไม่ได้แนะนำให้ผู้ป่วยโรคความดันสูงรับประทานดาร์กช็อกโกแลตในปริมาณมากแทนการใช้กระบวนการลดความดันโลหิตวิธีอื่นๆ อาทิ การบำบัดด้วยยา และการออกกำลังกาย แต่การวิจัยนี้เป็นการพิสูจน์ว่าสารฟลาโวนอยด์แบบเฉพาะที่พบในดาร์กช็อกโกแลตเป็นผลดีต่อความดันโลหิตและอินซูลินเท่านั้น
ด้าน "อลิซ ลิชเทนสไตน์" นักโภชนาการของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา ให้ความเห็นว่า ประชาชนควรจะรอจนกว่านักวิทยาศาสตร์จะสามารถแยกฟลาโวนอยด์ให้สามารถนำ เข้าสู่ร่างกายได้เหมือนยาสามัญทั่วไปก่อน ประชาชนไม่ควรบริโภคช็อกโกแลตเพียงเพราะมีสารบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น